การวิเคราะห์หลักๆก็จะมี 2 วิธี ที่เป็นที่นิยมมากในหมู่เทรดเดอร์และนักลงทุน นั่นคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐาน ซึ่งวิธีทั้ง 2 วิธีนี้ใช้ได้กับการเทรดสกุลเงินคริปโตเช่นกัน ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิคกัน
การวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิคคืออะไร?
เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือการศึกษาเกี่ยวกับแผนภูมิของตราสารทางการเงินในอดีต และระบุรูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ
หลักการของวิธีการ คือ ราคาของเงินคริปโตสะท้อนทุกอย่างที่ควรรู้ไว้แล้ว ทั้งปัจจัยพื้นฐาน แนวความคิด และข้อมูลที่ถูกแสดงโดยพฤติกรรมราคาบนแผนภูมิของเงินคริปโต ดังนั้นเทรดเงินคริปโตหรือนักวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงต้องให้ความสำคัญกับแผนภูมิราคา และข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับแผนภูมิราคานี้ สำหรับมือใหม่อาจซับซ้อนในช่วงแรก
การวิเคราะห์สกุลเงินคริปโตทางเทคนิคมีข้อสมมติฐาน 3 ข้อ คือ
- ตลาดลดราคาทุกอย่าง
- ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม
- ประวัติศาสตร์มีแนวโน้มที่จะซ้ำรอย
ประเภทของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: แผนภูมิเส้น แนวรับและแนวต้าน รูปแบบราคา
เทรดเดอร์เงินคริปโตหรือนักลงทุนที่ใช้แผนภูมิ เรียกว่านักอ่านแผนภูมิ หรือ chartist นักอ่านแผนภูมิมักจะวาดเส้นแนวนอนหรือเส้นทแยงเพื่อกำหนดระดับ หรือจุดที่ราคาของสินทรัพย์สามารถตอบสนองได้ เส้น 3 เส้นหลักที่ใช้ คือ เส้นแนวโน้ม เส้นแนวรับ และเส้นแนวต้าน
เส้นแนวโน้ม (Trendlines)
เส้นแนวโน้มคือ เส้นทแยงมุมที่ระบุแนวโน้ม เมื่อแนวโน้มยังดำเนินต่อไป เส้นแนวโน้มสามารถวาดได้จากจุด 2 จุดไปตามแนวโน้ม จากนั้นลากไปยังจุดที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อราคาเงินคริปโตเข้าใกล้เส้นแนวโน้ม
ใช้เส้นแนวรับและแนวต้านอย่างไร?
นักอ่านแผนภูมิทั้งหลาย มักระบุระดับเหล่านี้ด้วยเส้นแนวนอน โดยเชื่อว่าราคาจะตอบสนองต่อเส้นเหล่านี้ในอนาคต ซึ่งอาจจะมีระดับแนวต้านเหนือราคาคริปโตหลายระดับ และมีระดับแนวรับหลายระดับใต้ของราคาคริปโต ถ้าระดับแนวต้านถูกฝ่าออกไปข้างบน ราคาก็น่าจะขยับไปที่ระดับถัดไป ในขณะที่ระดับแนวต้านที่ถูกฝ่ากลายเป็นระดับแนวรับ แนวคิดนี้ใช้กับระดับแนวรับเช่นกัน ระดับแนวรับที่ถูกฝ่าลงไปข้างล่างจะกลายเป็นระดับแนวต้าน และราคาสามารถลงต่ำไปได้อีกจนกว่าจะไปถึงระดับแนวรับถัดไป ระดับแนวรับและแนวต้านยังเป็นโซนพลิกกลับสำหรับราคาอีกด้วย
ทำไมเทรดเดอร์ควรศึกษารูปแบบราคาคริปโต?
จากการศึกษาที่ผ่านมาตามสมัยทศวรรษต่างๆนั้น เป็นข้อบ่งชี้และแสดงให้เห็นว่าราคาแสดงรูปแบบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำ ๆ ตลอด ถ้าราคาตอบสนองต่อรูปแบบราคาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในอดีต แล้วทำไมมันจะไม่ตอบสนองแบบเดียวกันในอนาคตละ? อย่างไรก็ตาม กิจกรรมของผู้เข้าร่วมตลาดก็ระบุราคาของตราสารนั้น ๆ รูปแบบพฤติกรรมส่วนใหญ่ของเทรดเดอร์และผู้เข้าร่วมตลาดยังสร้างรูปแบบพฤติกรรมของราคาเองด้วย และมันยังสามารถใช้ได้กับการเทรดคริปโต รูปแบบราคาบางรูปแบบนั้นยังรวมไปถึงรูปแบบแท่งเทียน และรูปแบบบาร์ รูปแบบแผนภูมิ เช่น สามเหลี่ยม ธง รูปแบบที่ประสานกัน รูปแบบคลื่น Elliot มีหลักการของรูปแบบราคาที่ดีและยังมีอีกมากมายให้ศึกษา ตัวอย่างดังต่อไปนี้ เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมของบิทคอยน์
จากแผนภูมิ BTCUSD รายวันข้างบนนี้ เราจะเห็นว่า บิทคอยน์สร้างสามเหลี่ยม 10 เดือนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเชื่อว่าทิศทางของการฝ่าออกจะอยู่ใกล้กับทิศทางระยะสั้นของสินทรัพย์ หลังจากแนวล่างถูกฝ่าออก ในที่สุดบิทคอยน์ก็แตะที่ 3100 ซึ่งยืนยันการคาดการณ์ว่าจะเกิดรูปแบบสามเหลี่ยม
Oscillator สำหรับการเทรดเงินคริปโต
การเทรดสกุลเงินคริปโตก็เหมือนกับ การเทรด Forex หรือหุ้น เทรดเดอร์เงินคริปโตสามารถใช้ประโยชน์จากตัวชี้วัดทางคณิตศาสตร์ อย่าง Oscillator และเครื่องมือวาดอื่นๆเพื่อช่วยในการตัดสินใจเทรด
Oscillator มักถูกทำเป็นดัชนีจาก 0 ถึง 100 เมื่อตัวชี้วัดนี้อ่านได้ 25 หรือต่ำกว่านั้น เงินคริปโตที่ถูกจับตาอยู่นั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นการขายมากเกินไป และอาจเริ่มขยับขึ้น ในทางกลับกัน การอ่านได้ 75 หรือสูงกว่านั้น บ่งบอกถึงการซื้อมากเกินไป และเงินคริปโตอาจจะเริ่มขยับลง ประเภทของ Oscillator นั้นมี Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD), Stochastic และอีกมากมาย
อย่างไรก็ตามแนวโน้มหรือผลราคาตอบสนองต่อรูปแบบราคาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในอดีต ไม่ได้คาดการณ์ผลในอนาคตได้อย่างแม่นยำ100% ดังนั้นการหากเราจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเทรดได้กำไรหรือขาดทุนแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อย่าลืมที่จะศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนและพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเทรดในตลาดใดๆก็ตาม..
ซึ่งกระแสการลงทุนในยุคนี้ถือว่ามาแรงมากๆ หากใครกำลังสนใจการลงทุน สิ่งที่ควรคำนึงถึงเลยคือ การเลือกโบรกเกอร์ ที่มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์นักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น ต้องเป็นโบรกที่สามารถเทรดได้หลากหลายตลาด, มีการฝากเงินที่รวดเร็ว, ค่า Commission ต่ำ เป็นต้น