ในวันพุธที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ตกลงมามากกว่า 1% เป็นดัชนีหลักของ Wall Street ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อเดือนที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าเกณฑ์มาตรฐานการจ้างงานสำหรับการลดการสนับสนุนเศรษฐกิจสามารถทำได้ในปีนี้
หุ้นส่วนใหญ่ลดลงในช่วงท้ายของการประชุม โดย S&P 500 ลงประมาณ 1.8% จากระดับสูงสุดในประวัติการณ์ หลังจากที่ร่วงลงเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม โดยหุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 2.4% และการดูแลสุขภาพลดลง 1.5%
รายงานการประชุมเฟดวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2564 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มต่างๆกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและต้องเตรียมรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ โดยบางคนให้ความเห็นว่า อาจต้องใช้เวลาและต้องใช้ความอดทนจาก FED เพื่อนำชาวอเมริกันกลับมาทำงาน
นักลงทุนกำลังมองหาสัญญาณว่า เมื่อใดธนาคารกลางจะสามารถควบคุมนโยบายการเงินได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงการลดโครงการซื้อพันธบัตรที่ได้รับการสนับสนุนสำคัญ เนื่องจาก S&P 500 เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากระดับต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2020
” รายงานการประชุมของเฟด ไม่ได้มีความคิดที่จะปรับลดเม็ดเงินในการทำ QE เพิ่มเติม ” ปีเตอร์ ทูซ ประธานที่ปรึกษาด้านการลงทุนของเชส ในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย กล่าว
จากอดีตที่ผ่านมาในช่วงฤดูกาลนี้ จะเป็นช่วงที่ตลาดค่อนข้างอ่อนแอ ซึ่งนักลงทุนคาดการว่า หุ้นอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ว่า S&P 500 ยังถือว่าไม่ได้ถดถอยไปมากในปีนี้
ในช่วงนี้สิ่งที่น่าจับตามองคือการประชุมวิจัยประจำปีของ FED ในเมือง Jackson Hole รัฐไวโอมิง ซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า เป็นการวางแผนเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการของธนาคารกลาง นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่าเฟดจะประกาศแผนการที่จะลดการซื้อสินทรัพย์ให้เร็วที่สุดในการประชุมนโยบาย วันที่ 21-22 กันยายน
ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม Downjohn ลดลง 382.59 จุดหรือ 1.08% สู่ 34,960.69 ดัชนี S&P 500 ลดลง 47.81 จุดหรือ 1.07% สู่ 4,400.27 และ Nasdaq ลดลง 130.27 จุดหรือ 0.89% สู่ 14,525.91
แหล่งข่าวจาก Reuters