ปัจจุบันการลงทุนในการเงินมีสินทรัพย์เกิดใหม่ให้เราเลือกลงทุนมากมาย แต่ตลาดหุ้นก็ยังเป็นการลงทุนดั้งเดิมที่นักลงทุนให้ความสนใจ และเชื่อถือมากที่สุด โดยเฉพาะตลาดหุ้นของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีความเสถียรภาพสูงอย่างสหรัฐและจีน แต่ทราบไหมครับว่า ตลาดหุ้นจีน และ ดัชนีหุ้นจีน สามารถฟื้นตัวได้เร็วที่สุดในโลกจากวิกฤตโควิด-19
ในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นจีน ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรฐกิจต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงความเสียหายมหาศาลที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น ซึ่งทางการของประเทศสหรัฐต้องทำการอัดฉีด หรือที่เราเรียกกันว่า “QE” ด้วยจำนวนมหาศาล ในทางกัลบกัน จีนไม่ได้ทำการอัดฉีดเงินมากมายขนาดนั้น แต่มุ่งเน้นไปที่นโยบายการเงินที่แก้ปัญหาอย่างตรงจุด แถมได้ผลอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจกับ ตลาดหุ้นจีน และ ดัชนีหุ้นจีน กันอีกครั้ง
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ตลาดหุ้นจีน” และ “ดัชนีหุ้นจีน” ว่าเป็นอย่างไร และมีอะไรบ้าง พร้อมบอกจุดแข็งของตลาดการเงินในจีน และทำไมตลาดหุ้นจีน และ ดัชนีหุ้นจีน ถึงน่าสนใจในปี 2023 นี้
- ทำความรู้จัก “ตลาดหุ้นจีน” และ “ดัชนีหุ้นจีน”
- ประเภทของ ตลาดหุ้นจีน มีอะไรบ้าง?
- ประเภทของ ดัชนีหุ้นจีน มีอะไรบ้าง?
- จุดแข็งของ “ตลาดหุ้นจีน” และ “ดัชนีหุ้นจีน”
- เริ่มลงทุนหุ้นจีนอย่างไร?
———————————— 🐣 ————————————
ทำความรู้จัก “ตลาดหุ้นจีน” และ “ดัชนีหุ้นจีน”
ตลาดหุ้นจีนประกอบไปด้วย 4 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HESK), ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE), ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SSZE) และ ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ซึ่งการรวมตัวในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม SMEs ทำให้ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการตลาดรวมกว่า 12 ล้านล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงควมยิ่งใหญ่ของตลาดหุ้นจีน อีกทั้งตลาดหุ้นจีนยังมีบริษัทหลายแห่งที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีโอกาสในการลงทุนไม่น้อยหน้าไปกว่าตลาดหุ้นของโลกตะวันตก
ตลาดหุ้นจีน มีอะไรบ้าง?
ประเภทของตลาดหุ้นจีนประกอบไปด้วย A-Share, B-Share, H-Share, Red-Chip, P-Chip และ ADRs แต่ตลาดที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมเข้าไปลงทุนมากที่สุด คือ A-Share, H-Share และ ADRs ซึ่งหุ้นจีนแต่ละประเภทมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตลาดหุ้นจีน A-Share
ตลาดหุ้นจีน A-Share คือ ดัชนีหุ้นที่ออกโดยบริษัทสัญชาติจีนที่จัดตั้งขึ้น และจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งประกอบด้วยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ (SSE) และตลาดหุ้นเซินเจิ้น (SZSE) ปัจจุบันดัชนีหุ้นจีน A-Share เริ่มอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายได้แล้ว
- หุ้นจีน A-Share มีมูลค่าทางตลาดมากที่สุด
- ใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อ-ขาย
- นักลงทุนสัญชาติจีนและนักลงทุนสถาบันต่างชาติลงทุนได้เท่านั้น
โดยเราสามารถดูได้ว่า หุ้นจีน A-Share ใดที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายได้จากรหัสหุ้น ดังนี้
- รหัสหุ้น 000xxx – 001xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติลงทุนได้ตามปกติ
- รหัสหุ้น 002xxx – 003xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้บางตัว
- รหัสหุ้น 300xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้เลย
- รหัสหุ้น 600xxx – 605xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้บางตัว
- รหัสหุ้น 688xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้เลย
- รหัสหุ้น 900xxx นักลงทุนรายย่อยต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้เลย
บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นจีน A-Share มีอยู่ประมาณ 3,800 บริษัท โดย 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีมูลค่าการตลาด (Market Cap) สูงสุด ได้แก่ Financial, Industrial และ Consumer Staple โดยส่วนใหญ่จะลงทุนใน “เศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy)” ของจีน มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับการบริโภคในประเทศมากขึ้น
ตัวอย่างบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นจีน A-Share เช่น Ping An Insurance, Kweichow Moutai, Wuliangye Yibin, Yunnan Baiyao Group, Shenzhen SC New Energy Technology, Bank of China
ตลาดหุ้นจีน B-Share
ตลาดหุ้นจีน B-Share คือ ดัชนีหุ้นที่ออกโดยบริษัทสัญชาติจีนที่จัดตั้งขึ้น และจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นจีน A-Share แต่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) ในตลาดหุ้นเซินเจิ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นจีนกลุ่ม B-Share ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
- หุ้นจีน B-Share คล้ายกับ A-Share
- อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้
- อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงในตลาดหุ้นเซินเจิ้น
- หุ้นจีน B-Share ไม่ค่อยเป็นที่นิยม
ตลาดหุ้นจีน H-Share
ตลาดหุ้นจีน H-Share คือ ดัชนีหุ้นที่ออกโดยบริษัทสัญชาติจีนที่จัดตั้งขึ้น และจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน แต่นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อขายโดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ ด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) เท่านั้น
- หุ้นจีน H-Share ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากทุกคนสามารถลงทันได้ผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง
- ซื้อขายผ่านเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) เท่านั้น
บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นจีน H-Share ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจีนขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องมากที่สุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทที่อยู่ในหุ้นจีน H-Share ไม่เกิน 100 บริษัท และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการตลาด (Market Cap) สูงสุด คือ กลุ่ม Financial และรองลงมา คือ กลุ่ม Information Technology
ตัวอย่างบริษัทที่อยู่ในหุ้นจีน H-Share เช่น Tencent, Alibaba Group, China Mobile, Bank of China, Meituan, China Construction Bank Corp, Ping An Insurance
ตลาดหุ้นจีน Red-Chip
ตลาดหุ้นจีน Red-Chip คือ ดัชนีหุ้นที่ออกโดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นนอกจีน และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งบริษัทที่เสนอขายหุ้นประเภท Red Chip ส่วนใหญ่มักจะถูกจัดตั้งขึ้นในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และถือหุ้นบางส่วนโดยรัฐบาลจีน แต่ดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่อยู่นอกประเทศจีน โดยหุ้นจีน Red-Chip อาจเป็นบริษัทขนาดกลางหรือเล็กก็ได้ แต่จะซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) เท่านั้น และนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่มีเงื่อนไข
- หุ้นจีน Red-Chip ออกโดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นนอกจีน และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
- บริษัทที่ออกหุ้นจีน Red-Chip ส่วนใหญ่มักจะถูกจัดตั้งขึ้นในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
- รัฐบาลจีนจะถือหุ้นบางส่วนในบริษัท
- ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) เท่านั้น
- นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่มีเงื่อนไข
ตัวอย่างบริษัทที่อยู่ในหุ้นจีน Red-Chip ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ Lenovo โดยรัฐบาลจีนถือหุ้นบางส่วน และบริษัทจัดตั้งขึ้นที่ฮ่องกง
ตลาดหุ้นจีน P-Chip
ตลาดหุ้นจีน P-Chip คือ ดัชนีหุ้นที่ออกโดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นนอกจีน และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง แต่ไม่มีการถือหุ้นโดยรัฐบาลจีน ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) และนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่มีเงื่อนไข
- หุ้นจีน P-Chip ออกโดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นนอกจีน และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
- หุ้นจีน P-Chip แตกต่างจาก Red-Chip ตรงที่ไม่มีการถือหุ้นโดยรัฐบาลจีน
- ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD)
- นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่มีเงื่อนไข
ตลาดหุ้นจีน DRs
ตลาดหุ้นจีน DRs คือ ตราสารแสดงสิทธิในหน่วยลงทุนของกองทุน หรือหุ้นสามัญที่บริษัทจีน นำออกจำหน่าย เพื่อให้นักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศลงทุนได้สะดวกสบายมากขึ้น
ส่วนใหญ่จะที่เราจะพบบ่อย คือ ADRs ย่อมาจาก American Depository Reciepts คือ ตราสารสิทธิ์ในการออกหุ้นในสหรัฐ หรือหุ้นจีนกลุ่มบริษัทที่มีฐานธุรกิจในจีน แต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เพื่อให้นักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน
ประเภทของ ดัชนีหุ้นจีน มีอะไรบ้าง?
จากหัวข้อที่แล้วจะเห็นว่า ตลาดหุ้นจีนแบ่งประเภทออกเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าคุณลงทุนในกองทุน คุณสามารถเลือกลงทุนได้จากดัชนีหุ้นจีนหลัก ซึ่งจะรวมประเภทของตลาดหุ้นจีนไว้ในดัชนีนั้น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ดัชนีหุ้นจีน MSCI China Index
ดัชนีหุ้นจีน MSCI China Index เป็นดัชนีหุ้นจีนที่รวมหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาดกว่า 700 หุ้น หรือประมาณ 85% ของหุ้นทั้งหมดในตลาดจีน เช่น A-Shares B-Shares H-Shares Red-Chips P-Chips และ ADRs
ดัชนีหุ้นจีน CSI 300 Index
ดัชนีหุ้นจีน CSI 300 Index เป็นดัชนีหุ้นที่สะท้อนผลประกอบการของของ 300 อันดับแรกในหุ้น A-Share
ดัชนีหุ้นจีน STAR50 Index
ดัชนีหุ้นจีน STAR50 Index หรือ SSE Science and Technology Innovation Board 50 Index เป็นดัชนีหุ้นที่ประกอบด้วยหุ้น 50 อันดับแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรมชั้นนำของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ โดยมีนักลงทุนตั้งฉายาว่า ดัชนี NASDAQ ของจีน
ดัชนีหุ้นจีน Hang seng Tech Index
ดัชนีหุ้นจีน Hang seng Tech Index เป็นดัชนีหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง 30 ตัว มุ่งเน้นไปที่บริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรมชั้นนำของจีนเช่นเดียวกับดัชนีหุ้นจีน STAR50 Index แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
เวลาทำการของตลาดหุ้นจีน
- เวลาทำการตลาดหุ้นจีน คือ 9.30-15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 8.30-14.00 น. ตามเวลาไทย
- เวลาทำการตลาดหุ้นฮ่องกง คือ 9.30-16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 8.30-15.00 น. ตามเวลาไทย
- เวลาทำการตลาดหุ้นไต้หวัน คือ 9.00-13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 8.00-12.30 น. ตามเวลาไทย
จุดแข็ง “ตลาดหุ้นจีน” และ “ดัชนีหุ้นจีน”
สำหรับตลาดหุ้นจีน และดัชนีหุ้นจีน เรียกได้ว่า ฟ้าหลังฝนยังคงงดงามเสมอ โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid และเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวหุ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะดัชนีหุ้นจีน MSCI China, CSI300 และ HSCEI และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนตลาดหุ้นจีนและดัชนีหุ้นจีน
ประเด็นแรก ตลาดหุ้นจีน และดัชนีหุ้นจีนต่าง ๆ ยังจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศ, การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการฟื้นตัวของบริษัทเทคโนโลยี รวมถึงภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้นจากตอนที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเราจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจของจีนนั้นมีแนวโน้มเติบโตที่สวนทางกับฝั่งตะวันตก
ซึ่งในปี 2023 รัฐบาลจีนได้สนับสนุนเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและคลังที่เปิดกว้าง มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตขึ้นกว่า 6% ล่าสุด รัฐบาลได้มีการออกขายพันธบัตรมากขึ้น สัญญาณนี้หมายความว่า จีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และโดยส่วนใหญ่แล้วเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากตรงนี้มักจะไหลเท่าตลาดทุน หรือตลาดหุ้นจีนนั่นเอง
นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังได้รับอนิสงค์จากการเป็นโรงงานของโลก โดยยอดค้าปลีกในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ และการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นจีนทั้ง 2 แห่งติดอันดับโลก
ประเด็นต่อมา จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า ตลาดหุ้นจีนประกอบไปด้วย 4 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HESK), ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE), ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SSZE) และ ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ซึ่ง SSE และ SZSE ถูกจัดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับที่ 4 และ 7 โดยวัดจากมูลค่าการตลาด (Market Cap)
หุ้นจีนมีระยะคืนทุนเร็วกว่าหุ้นตัวอื่น
ประเด็นที่ขาดไม่ได้ จากข้อมูล 3 บริษัทใหญ่ของจีนในปี 2022 ได้แก่ Tencent, Alibaba และ Kweichow Moutai เพื่อเปรียบเทียบว่า หุ้นตัวนั้นคืนทุนเร็วหรือไม่ โดยเราวัดระยะเวลาการคืนทุนจาก P/E Radio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ของบริษัทเทียบกับ P/E ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมของหุ้น
โดยข้อมูลแสดงผลดังต่อไปนี้
Tencent : P/E บริษัท = 13.94 , P/E อุตสาหกรรม = 31.43
Alibaba : P/E บริษัท = 32.07 , P/E อุตสาหกรรม = 157.87
Kweichow Moutai : P/E บริษัท = 44.24 , P/E อุตสาหกรรม = 188.81
หมายความว่า หุ้นจีนทุกตัวที่ยกตัวอย่างมานั้นมีค่า P/E Ratio น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นว่า หุ้นจีนดังกล่าวมีระยะเวลาคืนทุนเร็วกว่าโดยเฉลี่ย ซึ่งนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หุ้นจีนน่าลงทุน
นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ JD.com เตรียมนำบริษัทลูกทำ IPO เป็นครั้งแรก ซึ่งรัฐบาลจีนสนับสนุนเต็มที่ เนื่องจากต้องการให้จีนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และในขณะเดียวกันการทำ IPO ครั้งนี้ ยังสามารถปลดล็อกมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่บริษัทและประเทศ ประจวบเหมาะกับการที่จีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราอาจต้องเริ่มศึกษาหุ้นจีนอย่างจริงจังแล้ว
นักวิเคราะห์มองว่า จุดต่ำสุดของตลาดหุ้นจีนผ่านพ้นไปแล้ว
ประเด็นสุดท้าย การปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีน มักจะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงถัดไป ซึ่งจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นจีนได้ผ่านพ้นมาแล้ว หลังจากปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุด -63% (ดัขนี MSCI CHINA) ถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงที่รุนแรงมากกว่าค่าเฉลี่ยตลาดขาลงในอดีตที่ -42% และในขณะนี้ ราคาหุ้นจีนนั้นยังมีราคาไม่สูงมาก โดยเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เริ่มลงทุน “หุ้นจีน” อย่างไร?
ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนเปิดให้นักลงทุนต่างชาติได้มีโอกาสลงทุนมากขึ้นแล้ว แต่อาจไม่สามารถลงทุนได้โดยตรง จำเป็นต้องลงทุนผ่านทาง Index Futures, กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) และหุ้น ADR
ลงทุนหุ้นจีนผ่าน Index Futures
การลงทุนหุ้นจีนผ่าน Index Futures หรือดัชนีฟิวเจอร์สของตลาดหุ้นจีน สามารถลงทุนได้ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ให้บริการ โดยดัชนีที่ได้รับความนิยม เช่น China A50
ลงทุนหุ้นจีนผ่านกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)
ETF คือ กองทุนเพื่อการลงทุนที่ติดตามประสิทธิภาพของตลาดเฉพาะ เช่น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือภาคหุ้น โดยคุณจะมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ดูแลพอร์ตของคุณ
ลงทุนหุ้นจีนผ่านหุ้น ADR
ADR หรือ หุ้นจีนกลุ่มบริษัทที่มีฐานธุรกิจในจีน แต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เป็นวิธีการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากที่สุด โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนจำนวนมากที่อยู่นอกประเทศจีนไม่สามารถลงลงทุนโดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้หรือตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นได้
———————————— 🐣 ————————————
สรุป
ตลาดหุ้นจีน และดัชนีหุ้นจีน ถือเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และตลาดเงินมีเสถียรภาพค่อนข้างสูง รวมถึงนโยบายการเงินของจีนที่มุ้งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างตรงจุด ทำให้ตลาดหุ้นจีนสามารถฟื้นตัวได้เร็วหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งจุดแข็งของหุ้นจีนมีอยู่หลายอย่าง เช่น ระยะเวลาการคืนทุนที่เร็ว และปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนตลาดหุ้นจีนให้เติบโต อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาอย่างรอบคอบก่อนลงทุน