Table of Contents
Table of Contents

Take Profit และ Stop Loss คืออะไร? สอนวิธีใช้ TP และ SL

Take Profit และ Stop Loss คืออะไร? สอนวิธีใช้ TP และ SL

ในบทความนี้ เราจะพูดถึงเคล็ดลับการเทรด Forex ให้ได้กำไร และป้องกันการล้างพอร์ต โดยการใช้เครื่องมือพื้นฐานง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้นั่นคือ การตั้งค่า TP SL พร้อมอธิบายความหมาย TP (Take Profit) คือ อะไร และ SL (Stop Loss) คือ อะไร เพื่อให้คุณเข้าใจมากขึ้นและนำไปปรับใช้ในการเทรดของคุณ

——————–🐣——————–

Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)

TP คือ อะไร? Take Profit คือ อะไร?

TP ย่อมาจาก Take Profit คือ การกำหนด “จุดทำกำไร” ณ ราคาหนึ่ง หากราคาวิ่งมาถึงจุดที่เรากำหนดไว้แล้ว ระบบจะทำการปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ ดังนั้น วิธีตั้งค่า TP จึงต้องประกอบด้วยการวิเคราะห์เชิงเทคนิคมาอย่างรอบคอบแล้ว จึงจะสามารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้

SL คือ อะไร? Stop Loss คือ อะไร?

SL ย่อมาจาก Stop Loss คือ การกำหนด “จุดขาดทุน” ณ ราคาหนึ่ง หากราคาไม่ได้วิ่งสวนทางแนวโน้มที่คุณวิเคราะห์ไว้ และเมื่อมาถึงจุดที่ตั้งค่า SL ระบบจะทำการปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ มันเป็นเหมือนการกำหนดว่า คุณสามารถยอมรับการขาดทุนได้เพียงเท่านี้ ดังนั้น วิธีตั้งค่า SL จะช่วยป้องกันการล้างพอร์ตได้ และมีประโยชน์มากในกรณีที่คุณไม่ได้อยู่หน้าจอในการเทรด

ทำไมต้องตั้งค่า Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ทุกครั้ง

หากเราพึ่งเข้ามาเป็นเทรดเดอร์ในตลาดการลงทุนได้ไม่นาน คงจะมีคำถามว่า “ทำไมต้อง ตั้งค่า TP SL ด้วย โดยเฉพาะ TP ทำไมไม่ปล่อยให้มันวิ่งขึ้นและทำการขายทีเดียว” ขอบอกว่า คุณสามารถทำแบบนั้นได้ครับ ถ้าคุณอยู่ในตลาดการลงทุนที่ถูกจริตกับวิธีนั้น เพราะตลาดการลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ หากเป็นตลาดหุ้นสามารถซื้อหุ้นในราคาถูกแล้วปล่อยเวลาผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี แล้วมา Take Profit ทีเดียวเมื่อราคาหุ้นแพงขึ้น แต่ในตลาด Forex ไม่ควรทำเช่นนั้น

วิธีตั้งค่า TP SL สำคัญมากในตลาด Forex เนื่องจากเป็นการซื้อขายแบบ CFD (Contract for Difference) หรือเรียกว่า “การซื้อขายสัญญาส่วนต่าง” ซึ่งราคามีความผันผวนรุนแรง ทำให้การกำหนดจุด Take Profit และ Stop Loss สามารถรักษาพอร์ตการลงทุนของคุณได้

TP (Take Profit) คือ , SL (Stop Loss) คือ และ วิธีตั้งค่า TP SL

🐤 ยกตัวอย่างกับไก่ : หากคุณเปิดออเดอร์ Buy XAUUSD และวิเคราะห์ว่า ราคาทองคำจะขึ้นแล้วต้องการซื้อถูกเพื่อขายแพง โดยวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อทองคำ รวมทั้งดู Indicator อย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ทองคำมีแนวโน้มที่ราคาอาจจะขึ้นแน่นอน และไม่ได้ตั้งค่า TP หรือ SL ไว้ ผลคือ การปล่อยกราฟให้พุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ พอกราฟขึ้นสูงเท่าไร ยิ่งทำให้เราความรู้สึกภูมิใจในออเดอร์ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

แต่หลังจากนั้นคุณได้ปิดหน้าจอ แล้วเอนตัวลงนอนแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะมั่นใจ 100% ว่า ตนเองทำกำไรได้แน่ ๆ ในออเดอร์นี้ พอเช้าวันต่อมากลับเห็นว่า ออเดอร์ที่เปิดไว้เมื่อคืนราคาวิ่งลงมาอยู่ในแดนลบ มันเป็นความรู้สึกที่เสียดายกำไรเอามาก ๆ คุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับคุณใช่ไหมครับ และนี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับการตั้งค่า TP SL หรือ Take Profit และ Stop Loss เวลาเปิดออเดอร์ทุกครั้ง

——————–🐣——————–

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) / Stop Loss (SL) 

วิธีตั้งค่า TP SL หรือการกำหนดจุด Take Profit และ Stop Loss จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไปตามสไตล์ของแต่ละคนว่า คุณพึงพอใจในกำไรเท่าไร และยอมรับการขาดทุนได้มากน้อยเพียงใด แต่ควรมีการวิเคราะห์มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งปกติเทรดเดอร์จะมีวิธีตั้งค่า TP SL จากการคำนวณการเคลื่อนที่ของ Pips หรือคิดเป็น % ของจำนวนเงินทุนที่มีในพอร์ต หรือบางคนอาจดูข่าวเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ ประกอบการตั้งค่า เพื่อประมาณ % ว่ากราฟมีโอกาสที่จะไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน เมื่อกราฟวิ่งมาถึงจุดที่เราตั้งไว้แล้ว ระบบจะทำการปิดออเดอร์ ทำให้เราได้รับกำไรหรือลดความเสี่ยงที่ขาดทุนนั่นเองครับ นอกจากนี้ คุณควรใช้ Indicator เพื่อช่วยในการวิเคราะห์จุด TP (Take Profit) และ SL (Stop Loss) ให้แม่นยำมากขึ้น เช่น

  • การหาจุด Take Profit และ Stop loss โดยใช้ แนวรับ-แนวต้าน
  • การหาจุด Take Profit และ Stop loss โดยใช้ Fibonacci
  • การหาจุด Take profit และ Stop loss โดยใช้ Indicator ต่าง ๆ
  • การหาจุด Take profit และ Stop loss โดยระบบ

TP (Take Profit) คือ , SL (Stop Loss) คือ และ วิธีตั้งค่า TP SL

ตัวอย่าง วิธีตั้งค่า Take Profit (TP)

วิธีตั้งค่า TP ขึ้นอยู่กับเทคนิคและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล แต่ต้องผ่านการวิเคราะห์มาอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น

  • กำหนดกำไรเป็น % โดยปกติเทรดเดอร์ส่วนมากมักจะกำหนดกำไรไว้ที่ประมาณ 3-10% ต่อการเทรด 1 ครั้ง เพื่อลดโอกาสในการขาดทุน และการไม่โลภมากจนเกินไปก็ทำให้เงินทุนเราปลอดภัยตามไปด้วย
  • ไม่เปลี่ยนตำแหน่งจุด TP (Take Profit) เมื่อเราเริ่มมองเห็นกำไรในออเดอร์นั้น ๆ แล้วในขณะที่กราฟวิ่งมาใกล้จุดทำกำไรที่เราตั้งไว้ (Take Profit) แล้วบางทีเราจะมีความรู้สึกว่าอยากเลื่อนจุด Take Profit ออกไปอีก เพื่อให้ได้กำไรที่มากขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะเทรดเดอร์ที่มีแผนการเทรดจริง ๆ เขาจะวางจุดทำกำไรและจุดขาดทุนไว้ตั้งแต่ตอนแรก แล้วไม่มานั่งกังวลอยู่หน้าจอตลอดเวลา ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้นั้น คุณจำเป็นจะต้องฝึกฝนจิตวิทยาการเทรดของตนเองให้ดีครับ

ตัวอย่าง วิธีตั้งค่า Stop Loss (SL)

วิธีตั้งค่า SL หรือ Stop Loss ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้ Take Profit โดยการตั้งค่าจำเป็นจะต้องผ่านการวิเคราะห์ % ที่เทรดเดอร์สามารถยอมรับจำนวนการขาดทุนได้ หรือใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ด้วย Indicator ระบุจุดต่าง ๆ โดยสามารถตั้งค่า Stop Loss ได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • ตั้งจุดตัดขาดทุนตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
  • ตั้งจุดตัดขาดทุนตามรูปแบบของกราฟ
  • ตั้งจุดตัดขาดทุนตาม Indicator แนวรับ-แนวต้าน

——————–🐣——————–

รูปแบบวิธีตั้งค่า Take Profit (TP)

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า วิธีตั้งค่า TP หรือ Take Profit สามารถทำได้หลากหลายวิธีครับ เราจึงได้สรุปวิธีการตั้งค่า TP แล้วแบ่งประเภทออกเป็น 4 ประเภท เพื่อความเข้าใจง่าย ดังนี้

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในเทรนขาขึ้น

วิธีตั้งค่า TP (Take Profit) ในเทรนขาขึ้น คือ การตั้งจุดทำกำไรในช่วงที่ราคาเป็นเทรนขาขึ้น หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าการที่เราซื้อของถูกเพื่อไปขายแพงในอนาคต

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในเทรนขาขึ้น
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ในเทรนขาขึ้น

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในเทรนขาลง

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในเทรนขาลง คือ การตั้งจุดทำกำไรในช่วงที่ราคาเป็นเทรนขาลง หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าการที่เราขายของแพงก่อน เพื่อไปซื้อคืนในราคาถูก (การวิเคราะห์ว่าราคาจะลงในอนาคต แต่เราขายก่อน)

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในเทรนขาลง
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ในเทรนขาลง

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในช่วงที่ราคาเป็นลักษณะ Sideways

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) ในช่วงที่ราคาเป็นลักษณะ Sideways คือ การตั้งจุดทำกำไรในช่วงที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบ เทรดเดอร์เรียกกราฟลักษณะนี้ว่าการเคลื่อนที่แบบ Side Way หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าการซื้อถูกขายแพงในช่วงระยะสั้น ๆ

การตั้งจุดทำกำไร Take Profit TP ในกราฟรูปแบบ Sideway
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ในกราฟรูปแบบ Sideway

วิธีตั้งค่า Take Profit (TP) จากการใช้ Indicator

การตั้งค่า Take Profit (TP) ด้วยการใช้งาน Indicator ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมจากเทรดเดอร์หลายคน โดย Indicator ที่ใช้สำหรับตั้งค่า Take Profit มีด้วยกันหลายชนิดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Indicator สำหรับบอกแนวรับ-แนวต้าน, ระบุแนวโน้ม หรือแม้แต่ใช้เพื่อระบุภาวะการซื้อขายที่มากเกินไป โดยเราขอยกตัวอย่างอินดิเคเตอร์ RSI ในการใช้เพื่อระบุจุด TP ครับ

สำหรับหลักการในการใช้ Indicator RSI สำหรับตั้งค่า Take Profit หรือ TP ทั้งในการเปิดออเดอร์ Buy และ การเปิดออเดอร์ Sell มีดังนี้ครับ

  • กรณีเปิดออเดอร์ Buy เมื่อกราฟ RSI เคลื่อนที่สูงกว่าระดับ 50 ให้ตั้งค่า TP ในระดับตั้งแต่ 70 ขึ้นไป 
  • กรณีเปิดออเดอร์ Sell เมื่อกราฟ RSI เคลื่อนที่ต่ำกว่าระดับ 50 ให้ตั้งค่า TP ในระดับตั้งแต่ 30 ลงมา

วิธีตั้งค่า Take Profit TP จากการใช้ Indicator
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ด้วย Indicator

🐤 ยกตัวอย่างกับไก่ : หากคุณสังเกตเห็นว่ากราฟ RSI มีการเคลื่อนที่สูงกว่าระดับ 50 อาจแสดงถึงแนวโน้มทิศทางที่ราคาอาจกำลังเป็น Uptrend โดยคุณได้ตัดสินใจเปิดออเดอร์ Buy คู่ XAUUSD ที่ 2895.671 ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่ดีที่สุด คุณจึงตัดสินใจตั้ง Take Profit โดยอ้างอิงจาก RSI ที่ระดับสูงกว่า 70 ซึ่งอยู่ที่ 2917.889 เป็นต้นไป โดยคุณสามารถตั้งที่เท่าใดก็ได้ ตามผลกำไรที่คุณพึงพอใจครับ 

🐥 Recommend by ไก่ : สำหรับเทรดเดอร์คนไหนที่กำลังอยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ RSI หรือ Indicator อื่น ๆ เราได้รวบรวมคู่มือ 10 Indicator ที่นิยมใช้ในกลุ่มเทรดเดอร์ไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ

รูปแบบวิธีตั้งค่า Stop Loss (SL)

สำหรับวิธีตั้งค่า SL หรือ Stop Loss จำเป็นจะต้องใช้การวิเคราะห์และการคำนวณ % การขาดทุนเข้ามาช่วย ซึ่งค่อนข้างซับซ้อนอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เราต้องรับ ดังนั้นเราจึงได้สรุปวิธีการตั้งค่า SL ออกมาเป็นหัวข้อหลัก ดังนี้

วิธีการตั้งค่า Stop Loss (SL) ด้วยการกำหนดเปอร์เซ็นต์ขาดทุน

การตั้งค่า Stop Loss ด้วยการกำหนดเปอร์เซ็นต์ขาดทุน อาจเป็นวิธีการตั้งค่าที่ไม่ตายตัว โดยจะขึ้นอยู่กับความพอใจและความสามารถในการรับระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถได้ โดยนำเปอร์เซ็นต์ที่รับได้มาคูณกับต้นทุนการเทรดของเราเอง อาทิเช่น 

  • หากต้นทุนการเทรดของคุณอยู่ที่ $200 และคุณสามารถรับความเสี่ยงได้เพียง 5% ของเงินทุน ความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้จึงเท่ากับ 200 x 5 / 100 เท่ากับ $10 ดังนั้น คุณควรตั้งระดับ Stop Loss ไว้ที่ $190 ครับ

วิธีการตั้งค่า Stop Loss (SL) จากการใช้ Price Pattern

Price Pattern คือ รูปแบบของกราฟที่แสดงการเคลื่อนที่ของราคาสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการใช้ Price Pattern จะช่วยให้เราสามารถระบุแนวโน้มทิศทางราคา, โอกาสกลับตัว รวมไปถึงระบุแนวรับ-แนวต้านจาก Neckline ได้ ซึ่งสามารถนำจุดนี้มาเพื่อตั้งเป็นจุด Stop Loss ได้ครับ

วิธีการตั้งค่า Stop Loss (SL) จากการใช้ Price Pattern

🐤 ตัวอย่างจากไก่ : จากกราฟเป็น Price Pattern รูปแบบ Double Bottom โดยเราได้ทำการเปิดออเดอร์ Buy ที่ระดับเส้นแนวรับ และคาดการณ์ว่าราคาจะ Rebound ขึ้นไปทดสอบแนวต้าน และสามารถทะลุผ่านไปเป็นขาขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่จะไม่สามารถทะลุเส้นแนวต้านและกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น เราควรตั้ง Stop Loss ไว้ในจุดของระดับแนวรับลงมาตามระดับการขาดทุนที่คุณเองยอมรับได้ครับ 

วิธีการตั้งค่า Stop Loss (SL) จากการใช้ Indicator

เช่นเดียวกันกับการตั้งค่า TP การตั้งค่า Stop Loss SL สามารถใช้งานอินดิเคเตอร์ เข้ามาช่วยระบุจุดแนวรับ-แนวต้านสำหรับตั้งค่าจุด SL โดย Indicator ที่เราหยิบมาใช้ในการช่วยตั้งค่าจุด Stop Loss คือ Bollinger Bands โดยมีวิธีการใช้และการตั้งค่า SL ดังนี้ครับ

วิธีการตั้งค่า Stop Loss (SL) จากการใช้ Indicator

🐤 ตัวอย่างจากไก่ : โดยปกติแล้วอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands จะประกอบไปด้วยเส้น 3 เส้น ดังนี้ 

  • Upper Band : ใช้แทนเส้นแนวต้าน
  • Middle Band : ใช้สำหรับระบุแนวโน้ม
  • Lower Band : ใช้แทนเส้นแนวรับ 

ดังนั้น การตั้งค่า Stop Loss เราจะใช้ Upper Band และ Lower Band เข้ามาช่วยในการตั้งค่าโดยใช้หลักการดังนี้ กรณีที่คุณเปิดออเดอร์ Buy เราจะตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่จุดต่ำกว่าของเส้น Lower Band และกรณีที่คุณเปิดออเดอร์ Sell เราจะตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่จุดเหนือกว่าเส้น Upper Band ทั้งนี้ เราจะใช้เส้น Middle Band เข้ามาช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มทิศทาง เพื่อช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจในการเปิดออเดอร์ ทั้งนี้การตั้งค่าระดับ SL ของแต่ละคนอาจขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงและความพึงพอใจที่เทรดเดอร์แต่ละคนรับได้ครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือการตั้งคำสั่ง Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ที่เทรดเดอร์ควรรู้และควรที่จะใช้เป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเทรดและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในการเทรดยังมีรูปแบบการตั้งค่าคำสั่งซื้อขายที่เทรดเดอร์ควรรู้นอกจาก TP SL เช่นกัน และเราได้ทำการรวบรวมและสรุปเพื่อให้คุณได้ศึกษาเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้วครับ

ประโยชน์ของ Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)

  • คุณไม่จำเป็นต้องเฝ้ากราฟตลอดทั้งวัน
  • คุณสามารถทำกำไรได้อย่างแน่นอนด้วยการตั้งจุด TP (Take Profit)
  • มันช่วยลดความเสี่ยงในการล้างพอร์ต
  • คุณจะสามารถวางแผนการเงินเพื่อใช้เทรดได้ดียิ่งขึ้น
  • การเทรดของคุณจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

วิธี Stop Loss มีกี่แบบ

Stop loss หรือการตัดขาดทุน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น Percentage Stop, Chart Stop, Volatility Stop และ Time Stop

Cut loss ต่างกับ Stop Loss ต่างกันยังไง

Stop Loss คือ การขายสินทรัพย์เมื่อเห็นว่ากำไรลดลง ไม่จำเป็นต้องขาดทุน แต่ Cut Loss คือการขายสินทรัพย์หลังจากขาดทุนไปแล้ว เพื่อไม่ให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม

Take Profit กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร 

Take Profit คือ Equity ที่เทรดเดอร์ปิดการลงทุนเพื่อรับผลกำไรจำนวนหนึ่ง แต่ Stop Loss คือ Equity ที่เทรดเดอร์ปิดการลงทุนเพื่อหยุดการขาดทุนที่จะเพิ่มขึ้น

ควรตั้ง TP กับ SL ยังไง

การตั้งค่า TP และ SL ไม่ได้มีค่าที่แน่นอนและตายตัว ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของแต่ละคน เพียงแต่ เทรดเดอร์ควรคำนึงถึงผลกำไรขาดทุนที่ตนเองพึงพอใจหรือรับไหว ซึ่งสามารถปรับใช้กับการตั้ง TP และ SL ที่ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปครับ 

RR คืออะไร

RR หรือ RRR ย่อมาจาก Risk Reward Ratio หมายถึง อัตราส่วนสำหรับการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน โดยเปรียบเทียบจากความเสี่ยงของผลลัพธ์ที่จะเสียเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้ 

——————–🐣——————–

สรุป Take Profit หรือ Stop Loss คืออะไร และวิธีใช้ TP และ SL

ในบทความนี้ เราได้อธิบายว่า Take Profit (TP) คืออะไร? Stop Loss (SL) คืออะไร? และ วิธีตั้งค่า TP และ SL ไปเรียบร้อยแล้ว คุณจะเห็นว่า การกำหนดจุดทั้งสองนี้มีประโยชน์มากสำหรับการเทรด นอกจากนั้น การกำหนดจุด Take Profit และ Stop Loss ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการล้างพอร์ตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการเทรด Forex ยังมีเทคนิคและกลยุทธ์อีกมากมายให้คุณต้องเรียนรู้ หากใครกำลังสนใจการลงทุนในตลาดนี้ จำเป็นต้องหมั่นศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม และอีกสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ การเลือกโบรกเกอร์ ที่มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์นักลงทุน ซึ่งการเลือกโบรกเกอร์ที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของการเทรดที่มีประสิทธิภาพครับ

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex เราได้รวบรวมไว้แล้ว!

โบรกเกอร์ Forex สเปรดต่ำ

โบรกเกอร์ Forex Free Swap

โบรกเกอร์ Forex เทรดทอง

โบรกเกอร์ Forex ยอดนิยม

โบรกเกอร์ Forex ฝากถอนไว

โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ

โบรกเกอร์ Forex โบนัสฟรี เทรดฟรี


อ่านบทความเพิ่มเติม: Knowledge

อ่านรีวิวโบรกเกอร์อื่น ๆ ได้ที่: Review Broker

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม: News

Table of Contents
TOP FOREX BROKERS
1
5/5
IUX
5/5
2
3/5
IC Markets
IC Markets-top-forex-brokers
IC Markets
4/5
3
4/5
FXGT.com
FXGT.com
4/5
4
3/5
Hantec Markets
Hantec Markets
3/5
5
4/5
Eightcap
Eightcap
3/5

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

– Advertisement –

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FOLLOW US
บทความที่เกี่ยวข้อง

– Advertisement –