ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการลงทุนมากขึ้น ทำให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าในสมัยก่อน อีกทั้งยังมีสินทรัพย์ให้เราเลือกลงทุนมากมายตามความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายคนที่เข้ามาในตลาดนี้เพื่อต้องการอิสระทางการเงิน ดังนั้น การที่จะลงทุนให้ได้กำไรจำเป็นต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และวิเคราะห์แนวโน้มของราคาสินทรัพย์ในอนาคต ซึ่งแหล่งข่าวที่มีการพูดถึงมากที่สุดในการลงทุน คือ FED (Federal Reserve) หรือธนาคารกลางสหรัฐ
หากใครยังไม่ทราบ เศรษฐกิจของสหรัฐนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสหรัฐถือเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก และเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีต่าง ๆ สาเหตุเหล่านี้ส่งผลให้ทุกครั้งที่มีการประกาศตัวเลขทางเศรษญกิจ, ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ และนโยบายของ FED จะทำให้ตลาดการเงินเกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และนักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะมันส่งผลต่อเงินในพอร์ตของคุณ
ดังนั้น ทุกความเคลื่อนไหวของ FED จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และสงสัยกันไหมครับว่า? FED คือ อะไร มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน ทำไมถึงกลายเป็นผู้ชี้ชะตาของโลกได้ ซึ่งบทความนี้จะทำให้คุณรู้จัก FED ทุกซอกทุกมุม โดยทุกเหตุการณ์และทุกข้อสันนิษฐานล้วนมีความเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น
- ย้อนรอยธนาคารกลาง 3 แห่งแรกของโลก
- จุดเริ่มต้นกว่าจะมาเป็น “ดอลลาร์สหรัฐ” และ “FED”
- จุดกำเนิด FED คือ ใครกันแน่
- โครงสร้างของ FED ผู้กุมอำนาจโลก
- ความลับที่ถูกซ่อนไว้นานกว่า 100 ปี (ทฤษฎีสมคบคิดกับตระกูลชาวยิว)
ย้อนรอยธนาคารกลางแห่งแรกของโลกกว่าจะมาเป็น “FED”
ธนาคารกลางแห่งแรกของโลก : Bank of Amsterdam
ธนาคารกลางแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นในปี 1609 ที่ประเทศเนเธอแลนด์หรือที่เราเรียกกันว่า ชาวดัตส์ สืบเนื่องมาจากในช่วงศตวรรษที่ 7 สเปนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาอำนาจทางทะเลพ่ายแพ้สงครามให้กับจักรวรรดิบริติช ทำให้พื้นที่ทางทะเลค่อนข้างโล่ง และชาวดัตส์ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า ซึ่งทำการเดินเรือไปในประเทศต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงเล็งเห็นโอกาสเพื่อขยายธุรกิจและอาณานิคมของตนเอง แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมีระบบการเงินที่แข็งแรงเสียก่อน ชาวดัตส์จึงริเริ่มจัดตั้งธนาคารกลางแห่งแรกขึ้นชื่อว่า Bank of Amsterdam อย่างเป็นทางการ
ธนาคารกลางแห่งที่ 2 ของโลก : Bank of England
หลังจากนั้น ในปี 1694 ประเทศอังกฤษหรือจักรวรรดิบริติชก็เริ่มเห็นว่า แนวคิดของชาวดัตส์ค่อนข้างดีต่อการขยายอาณานิคม และเราก็เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว การมีระบบการเงินที่เสถียรภาพและแข็งแรงย่อมเป็นผลดีต่อประเทศ จึงจั้ดตั้งธนาคารกลางตามขึ้นมาชื่อว่า Bank of England (BoE) ขึ้นมา ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น BoE ถือเป็นธนาคารกลางที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดของจักรวรรดิบริติชจนถึงปัจจุบัน
ธนาคารกลางแห่งที่ 3 ของโลก : Federal Reserve หรือ FED
หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า สหรัฐก็เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อนจวบจนกระทั่งปี 1776 ได้เกิดสงครามประกาศอิสรภาพจึงทำให้สหรัฐแยกประเทศออกมาได้สำเร็จ ทำให้เกิดการประชุมเพื่อจัดตั้งสกุลเงินของตนเอง และธนาคารกลางเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ จนกลายเป็นธนาคารกลางที่ชี้ชะตาโลกอย่าง FED (Federal Reserve) หรือธนาคารกลางสหรัฐในปัจจุบัน แต่กว่าจะเกิด FED ขึ้นมาได้นั้นผ่านเหตุการณ์มาหลยอย่างและใช้เวลากว่า 100 ปี
จุดเริ่มต้นของ “ดอลลาร์สหรัฐ” และ “FED”
สกุลเงินที่มีสินทรัพย์หนุนหลังเป็น “ภาษี”
ในอดีตสหรัฐใช้ “สกุลเงินสเตอร์ลิง” แต่หลังจากประกาศอิสระภาพออกมาจากอังกฤษทำให้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อความมั่นคงของประเทศขึ้นมา แต่ก่อนจะตั้งธนาคารได้สหรัฐจำเป็นต้องมีสกุลเงินของตนเองก่อน ซึ่งสกุลเงินแรกมีชื่อว่า “Continentals” และมีสินทรัพย์หนุนหลังเป็นเงินภาษีที่สหรัฐจะสามารถเก็บได้ในอนาคต ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ Continentals ไม่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
“ดอลลาร์สหรัฐ” สกุลเงินครองโลก
จากนั้นในปี 1792 สหรัฐจึงสถาปนาสกุลเงินใหม่ขึ้นมาชื่อว่า “Peso” หรือ “Dolar” โดยมีจุดเด่นที่มูลค่า โดย 1 Dolar = 1 เหรียญเม็กซิโก (เปโซเม็กซิกัน) เนื่องจากสกุลเงินนี้เป็นสกุลเงินที่สเปนซึ่งเป็นมหาอำนาจในตอนนั้นใช้อยู่ ทำให้ระบบการเงินและการธนาคารเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการระดมความคิดเกี่ยวกับ “การจัดตั้งธนาคารกลาง” ขึ้นมา เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งธนาคารกลางถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และสหรัฐมีความพยายามจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นมาถึง 2 ครั้ง ได้แก่ First Bank of America (1791) และ First Bank of America (1816) แต่ ณ ตอนนั้นผู้คนไม่ให้ความสำคัญกับธนาคารกลาง และมีความคิดว่า ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งสามารถเดินหน้าด้วยตนเองได้ ทำให้ธนาคารกางที่สหรัฐพยายามจัดตั้งขึ้นมาถึง 2 แห่ง ต้องโดนยกเลิกไป
จุดกำเนิด FED คือ ใครกันแน่ ?
แผ่นดินไหวที่สะเทือนถึงระบบการเงิน
จุดกำเนิด FED คือ เมื่อในปี 1906 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดของประวัติศาสตร์สหรัฐที่ซานฟรานซิสโก โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 400 ล้านดอลลาร์ หรือ 9,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน โดย ณ เวลานั้นบริษัทประกันภัยที่สหรัฐใช้อยู่เป็นของอังกฤษ แต่ไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดได้ ทำให้อังกฤษจำเป็นต้องดึงเงินจากสภาพคล่องที่เคยให้คนอเมริกันกูเงินไปคืนเพื่อชดเชยค่าเสียหาย ส่งผลให้ตลาดการเงินของสหรัฐขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง และตลาดหุ้น Wall Street ปรับตัวลงกว่า 50% ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจต่อระบบธนาคาร เนื่องจากเศรษฐกิจขาดสภาพคล่องมากเกินไป จึงเกิดการแห่ไปถอนเงินเพื่อจะเก็บเงิบสดไว้กับตัว ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่า Bank Run
เงินก้อนแรกที่เป็น จุดกำเนิด FED
ต่อมา Nelson Aldrich วุฒิสมาชิกสหรัฐ ณ ขณะนั้นมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังวุ่นวาย เนื่องจากไม่มีระบบการเงินที่แข็งแกร่ง และเมื่อสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์หายไปหมดใครจะเป็นผู้รับประกันว่า ประเทศจะไม่ล้มละลาย จึงเกิดการระดมทุนเพื่อจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นมา โดยผู้ที่ยื่นเงินก้อนแรก คือ John Piepont Morgan หรือผู้ก่อตั้ง J.P. Morgan ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ณ ปัจจุบัน หลังจากนั้นก็มีนายธนาคารคนอื่น ๆ ช่วยกันลงเงิน เพื่อเป็นเงินสำรองของประเทศไว้ใช้ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยบุคคลเหล่านี้ถูกเรียกว่า “The Federal Reserve” หรือถุงเงินสำรองของสหรัฐ
FED คือ “ถุงเงินสำรองของสหรัฐ” ซึ่งเป็นเหมือนปั๊มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยน้ำในที่นี้หมายถึง “เงิน”
Federal Reserve หรือ FED คือ ถุงเงินสำรองของสหรัฐ ซึ่งเป็นเหมือนปั๊มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยน้ำในที่นี้หมายถึง “เงิน” ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่สหรัฐขาดสภาพคล่อง FED จะทำหน้าที่ปั๊มเงินหรือ “อัดฉีด” เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจของสหรัฐเกิดเงินเฟ้อ FED ก็มีหน้าที่ดูดเงินออกมาเช่นกัน
หลังจากมีการระดมทุนและจดตั้งเป็นองค์กรขึ้นมาแล้ว จึงได้มีการร่างกฎหมายขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อเสนอให้ Woodrow Wilson ประธานาธิบดีของสหรัฐ ณ ตอนนั้น พิจารณาจัดตั้งองค์กรนี้ให้เป็นธนาคารกลางสหรัฐ และมีการเซ็นลงนามอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1907 ทำให้ทั่วโลกได้รู้จัก FED ธนาคารกลางสหรัฐเป็นต้นมา โดย FED ถูกจัดตั้งไว้ใน 12 พื้นที่ เพื่อรักษาความเสถียรของระบบการเงินให้ครอบคลุมทั้งประเทศ นอกจากนี้ เหตุกรณ์แรกที่พิสูจน์ความน่าเชื่อถือของ FED คือ The Wall Street Cash ในปี 1929 เป็นเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์ตกครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่กินเวลากว่า 12 ปี ความรุนแรงในครั้งนี้ผ่านไปได้ เพราะเงินสำรองจาก FED ที่อัดฉีดเข้ามาในระบบ เหตุการณ์นี้จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกเริ่มให้การยอมรับกับ FED มากขึ้น
โครงสร้าง FED ผู้กุมอำนาจของโลก
FED ประกอบไปหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกออกได้ 3 หน่วยงานหลัก ดังนี้ :
- Federal Reserve Banks
Federal Reserve Banks คือ ธนาคารระดับภูมิภาคของระบบ FED ซึ่งครอบคลุม 12 เขต และมีอำนาจปกครองในแต่ละมลรัฐของสหรัฐ
- Board of Governors
Board of Governors คือ คณะกรรมการผู้ว่าการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนกลางที่คอยกำกับดูแลระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ
- Federal Open Market Committee (FOMC)
FOMC คือ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน, อัตราดอกเบี้ย และปริมาณการซื้อสินทรัพย์ โดยหน่วยงานนี้จะจัดประชุมปีละ 8 ครั้ง และมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินต่าง ๆ ของสหัรฐ
ข้อสันนิษฐาน: ความลับของ FED และทฤษฎีสมคบคิดกับตระกูลชาวยิว
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบเกี่ยวกับ ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) เป็นคำอธิบายโต้แย้งกระแสกับกระแสหลักหรือคำประกาศอย่างเป็นทางการ แนวคิดนี้มีการแพร่หลายเป็นครั้งแรกในปี 1909 และกลายเป็นคำพูดติดปากในกลุ่มนักวิชาการและนักวิเคราะห์ โดยทฤษฎีนี้จะเป็นการรวบรวมข้อมูลในฝั่งที่ตนเองเชื่อ เพื่อโต้แย้งกับหลักการฝั่งที่เป็นกระแสหลัก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีทั้งจริงและไม่จริง หรืออาจจะมีความจริงแค่เพียงบางส่วน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเรื่องมากมายที่คนกลุ่มหนึ่งนำมาพูดเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด ซึ่ง FED ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ข้อสันนิษฐาน: FED อาจมีส่วนเกี่ยวกับของกับอภิมหาเศรษฐีชาวยิว
ข้อสันนิษฐานจากทฤษฎีสมคบคิดกล่าวว่า FED มีส่วนเกี่ยวข้องและสมรู้ร่วมคิดกับตระกูล Rothschild ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ซึ่ง Rothschild ถือเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ของชาวยิวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โด่งดังจากการเป็นผู้วางรากฐานระบบการเงินในยุโรป เรียกได้ว่า มูลค่าของทรัพย์สินในตระกูลนี้สามารถปล่อยกู้ให้กับกษัตริย์ สมาชิกราชวงศ์ ไปจนถึงรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้ แต่แปลกที่ไม่เคยมีองค์กรใดนำเสนอจำนวนสินทรัพย์จริง ๆ ของตระกลนี้เลย นอกจากนี้ยังไม่ถูกจัดอันดับในคนที่ร่ำรวยด้วย
หากคุณลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ส่วนใหญ่ประธาน FED คือ ชาวยิว ดังนี้
- Alan Greenspan มีนามสกุลเก่าเป็นชาวยิว
- Ben Bernanke เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว
- Janet Yellen เป็นชาวยิว
- Arthur Frank Burns เป็นชาวยิว
- Paul Moritz Warburg ผู้ร่วมก่อตั้ง FED ก็เป็นชาวยิวเช่นกัน
สำหรับข้อสันนิษฐานมีมุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป บางคนเชื่อว่า มันไม่เป็นความจริง หรือบางคนเชื่อว่า มันคือความจริงเพียงแค่ไม่มีหลักฐาน และบางคนเชื่อว่า Rothschild อยู่เบื้องหลังของ FED ความคิดเห็นเหล่านี้สะท้อนถึงทุกสังคม ไม่ว่าจะสังคมใดล้วนมีมุมมืด มีสิ่งที่ต้องปกปิดเป็นความลับ และไม่สามารถปล่อยให้หลุดออกมาสู่สาธารณะชนได้ อย่างไรก็ตาม หากติดตามประวัติของตระกูล Rothschild จะพบว่า ผู้สืบทอดตระกูลเหลืออยู่แค่คนเดียว และยังไม่มีหลักฐานว่า Rothschild แผ่ขยายอำนาจในสหรัฐ เนื่องจากต้นตระกูลจริง ๆ เริ่มธุรกิจแถวโซนยุโรป
สรุป
FED คือ ถุงเงินสำรองของสหรัฐ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก และเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีทั่วโลก กว่าจะเกิด FED ขึ้นมาได้นั้นมีประวัติศาสตร์มากมาหลายเหตุการณ์ โดยเราคงกล่าวไม่ได้เต็มปากว่า FED คือ ธนาคารของรัฐบาล แต่ FED ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรฐกิจ และอัดฉดเงินเข้าสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันได้นามของมาตรการ QE นอกจากนี้ จุดกำเนิด FED ทำให้เราได้รู้ว่า ทุกสังคมล้วนมีความลับที่ซ่อนอยู่ อยู่ที่ว่ามันจะถูกปกปิดไม่ให้ออกมาสู่สาธารณะชนได้นานเท่าไร
